ได้รับคัดเลือกการประกวดสุดยอดเมล็ดกาแฟอราบิก้าไทย

งานมหกรรมพืชสวนโลกเฉลิมพระเกียรติฯ ราชพฤกษ์ 2554 กรมส่งเสริมการเกษตรได้รับมอบหมายจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ให้มีการจัดประกวดผัก เห็ด ผลไม้ ชาและกาแฟขึ้น ในงาน ระหว่างวันที่ 10 -16 กุมภาพันธ์ 2555 โดยมีเป้าหมายสำคัญเพื่อแสดงบทบาทและศักยภาพในการพัฒนาด้านพืชสวนของไทย ให้เป็นที่ยอมรับในด้านพัฒนาคุณภาพผลผลิต โดยเชิญชวนเกษตรกร และกลุ่มองค์กรต่างๆ ร่วมกันส่งผลผลิตด้านดังกล่าวเข้าประกวด ให้เป็นที่ประจักษ์แก่สายตาชาวโลก
กาแฟห้วยห้อมโดยวิสาหกิจชุมชนแปรรูปกาแฟบ้านห้วยห้อม แหล่งปลูก บ้านห้วยห้อม ตำบลห้วยห้อม อำเภอแม่ลาน้อย จังหวัดแม่ฮ่องสอน ได้รับคัดเลือกในกลุ่มแหล่งเพาะปลูกที่มีความสูงจากระดับน้ำทะเล 1,250 เมตร
กาแฟห้วยห้อมโดยวิสาหกิจชุมชนแปรรูปกาแฟบ้านห้วยห้อม แหล่งปลูก บ้านห้วยห้อม ตำบลห้วยห้อม อำเภอแม่ลาน้อย จังหวัดแม่ฮ่องสอน ได้รับคัดเลือกในกลุ่มแหล่งเพาะปลูกที่มีความสูงจากระดับน้ำทะเล 1,250 เมตร
กาแฟออร์แกนิคปลูกแบบธรรมชาติ 100% ไม่ใช้ปุ๋ยเคมีและยาฆ่าแมลง

กาแฟออร์แกนิค เป็นกาแฟที่เพาะปลูกโดยไม่ใช้ยาฆ่าแมลง หรือสารเคมีอันตรายในการกำจัดศัตรูพืช การเพาะปลูกดังกล่าวจะช่วยรักษาสภาพแวดล้อมและยังช่วยรักษาความสะอาดให้แหล่งน้ำอีกด้วย หลังการเก็บเกี่ยว กาแฟออแกนิกเหล่านี้จะถูกส่งไปยังโรงโม่ที่ได้รับการรับรองว่าปลอดสารเคมี แล้วจึงนำไปคั่วก่อนส่งออกจำหน่ายภายใต้ฉลาก "กาแฟออร์แกนิค"
กาแฟจำนวนมากที่ปลูกแบบกาแฟออแกนิก หรือกาแฟที่ปลอดสารเคมี นั้นยังไม่ได้มีการรับรอง การรับรองอย่างเป็นทางการจะต้องอาศัยความร่วมมือจากเจ้าของไร่กาแฟในการส่งตัวอย่างดินเพื่อนำไปทดสอบเป็นเวลา 3 ปี และเมื่อผ่านการทดสอบแล้ว เจ้าของไร่กาแฟก็จะต้องส่งตัวอย่างดินให้ตรวจสอบทุกๆ ปี เพื่อให้มั่นใจว่า ชาวไร่เพาะปลูกกาแฟโดยปราศจากการใช้สารเคมี
กาแฟฮอมได้รับการปรับปรุงระบบกรรมวิธีการผลิตให้มีคุณภาพและมาตรฐานโดยปลูกแบบธรรมชาติ 100% ไม่ใช้ปุ๋ยเคมีและยาฆ่าแมลงซึ่งจะทำได้ในบางแหล่งผลิตที่มีความสูงพอเหมาะและมีดินที่อุดมสมบูรณ์เท่านั้น และได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการ
กาแฟจำนวนมากที่ปลูกแบบกาแฟออแกนิก หรือกาแฟที่ปลอดสารเคมี นั้นยังไม่ได้มีการรับรอง การรับรองอย่างเป็นทางการจะต้องอาศัยความร่วมมือจากเจ้าของไร่กาแฟในการส่งตัวอย่างดินเพื่อนำไปทดสอบเป็นเวลา 3 ปี และเมื่อผ่านการทดสอบแล้ว เจ้าของไร่กาแฟก็จะต้องส่งตัวอย่างดินให้ตรวจสอบทุกๆ ปี เพื่อให้มั่นใจว่า ชาวไร่เพาะปลูกกาแฟโดยปราศจากการใช้สารเคมี
กาแฟฮอมได้รับการปรับปรุงระบบกรรมวิธีการผลิตให้มีคุณภาพและมาตรฐานโดยปลูกแบบธรรมชาติ 100% ไม่ใช้ปุ๋ยเคมีและยาฆ่าแมลงซึ่งจะทำได้ในบางแหล่งผลิตที่มีความสูงพอเหมาะและมีดินที่อุดมสมบูรณ์เท่านั้น และได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการ
Good Agriculture Practices (GAP)

การผลิตทางการเกษตรที่ดีและเหมาะสม หรือ Good Agriculture Practices (GAP) หมายถึง แนวทางในการทำการเกษตร เพื่อให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพดีตรงตามมาตรฐานที่กำหนด ได้ผลผลิตสูงคุ้มค่าการลงทุนและขบวนการผลิตจะต้องปลอดภัยต่อเกษตรกรและผู้บริโภค มีการใช้ทรัพยากรที่เกิดประโยชน์สูงสุด เกิดความยั่งยืนทางการเกษตรและไม่ทำให้เกิดมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม โดยหลักการนี้ได้รับการกำหนดโดยองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO)
ไร่กาแฟฮอมออร์แกนิคได้รับการรับรอง GAP จากกรมวิชาการเกษตรโดยได้รับเลือกให้ส่งจำหน่ายให้กับโครงการหลวง และสตาร์บัคส์ ประเทศไทย
ไร่กาแฟฮอมออร์แกนิคได้รับการรับรอง GAP จากกรมวิชาการเกษตรโดยได้รับเลือกให้ส่งจำหน่ายให้กับโครงการหลวง และสตาร์บัคส์ ประเทศไทย
กาแฟไทยคุณภาพดีที่ Starbucks เลือกสรร จนมาเป็น "ม๋วนใจ๋ เบลนด์

"ม่วนใจ๋" นับเป็นความภาคภูมิใจของพนักงานสตาร์บัคส์ คอฟฟี่ ประเทศไทย ทุกคน และเป็นแรงบันดาลใจในการตั้งชื่อกาแฟนี้ว่า ม่วนใจ๋ เบลนด์ คำว่า "ม่วนใจ๋" เป็นภาษาคำเมือง ซึ่งเป็นภาษาท้องถิ่นภาคเหนือที่ยังคงใช้กันอยู่ในปัจจุบัน มีความหมายว่า "ความสุขอย่างเต็มเปี่ยม"
กาแฟม่วนใจ๋ เบลนด์ เป็นกาแฟผสมระหว่างกาแฟจากชาวเขาทางภาคเหนือของไทยกับกาแฟจากแหล่งอื่นในหมู่เกาะแปซิฟิก วางขายอยู่บนชั้นขายกาแฟของสตาร์บัคส์มาร่วม 4 ปี
ในประเทศไทย "ม่วนใจ๋" ถูกจัดวางอย่างสง่างามเทียบศักดิ์ศรีกาแฟคุณภาพดีที่สตาร์บัคส์คัดเลือกมาจากหลายภูมิภาคทั่วโลก เพราะต่างก็อยู่บน "mission statement" ข้อสามที่ว่า "การปฏิบัติตามมาตรฐานสูงสุดทั้งในด้านการเลือกซื้อเมล็ดกาแฟ การคั่วเมล็ฟดกาแฟ และการให้บริการกาแฟคุณภาพเยี่ยม
"6 ปีก่อนไม่มีใครรู้จักกาแฟจากเมืองไทย พอม่วนใจ๋ได้เข้าไปขายในสตาร์บัคส์ ก็เหมือนได้โปรโมตให้ทั่วโลกได้รู้ว่า ประเทศไทยมีกาแฟดีๆ ทำให้กาแฟไทยขายได้มากขึ้น จน 2-3 ปีก่อน กาแฟไทยขาดตลาดเลย"
Michael Mann หรือ อ.ไมค์ เป็น "ฝรั่งดอย" ที่คลุกคลีกับชาวเขาในเชียงใหม่มาตั้งแต่อายุ 2 ขวบ เติบโตที่เชียงใหม่มาตลอด ยกเว้นแค่ 7 ปีที่เรียนในอเมริกา หลังจากนั้นก็ทุ่มเททำงานเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของชาวเขามาตลอดชั่วชีวิต ในฐานะผู้อำนวยการของ Integrated Tribal Development Program (ITDP) ซึ่งเป็นโครงการพัฒนาชาวเขาบนดอยแบบผสมผสาน เจตจำนงและแรงบันดาลใจตรงนี้เป็นสิ่งที่พ่อของเขาถ่ายทอดไว้ให้เป็นมรดกแห่งความดีงาม
พ่อของเขาเป็นนักพัฒนาด้านเกษตร ทำงานโครงการพัฒนาชาวเขาให้กับสหประชาชาติ พ่อของเขาเป็นคนแรกที่เอากาแฟเข้ามาเมืองไทยเพื่อส่งเสริมให้ชาวเขาปลูกกาแฟแทนฝิ่น เขาจึงได้ตามพ่อขึ้นดอยตั้งแต่เด็ก และก็ได้ซึบซับความรู้เรื่องกาแฟเข้ามาด้วย
"ชาวไร่มาติดต่อ ITDP หลายครั้ง เขาอยากรู้วิธีการปลูกกาแฟที่มีคุณภาพ และอยากรู้วิธีทำให้ผลกาแฟกลายเป็นสารกาแฟที่ไปคั่วได้ เพราะเมื่อก่อนพ่อค้าคนกลางไปรับซื้อกาแฟที่เป็นผลเชอรี่เอาไปทำเอง แล้วกดราคาชาวบ้าน แต่เขาจะเอาไปขายเองในตลาดก็ทำไม่ได้ เพราะปริมาณผลผลิตน้อยก็เข้าตลาดยาก"
หลังจากแนะนำชาวเขากว่า 200 ครอบครัว จากกว่า 25 หมู่บ้าน รวมตัวเป็นสหกรณ์ ITDP ก็เข้าไปสอนวิธีปลูกกาแฟที่มีคุณภาพ จากนั้นก็ต้องหาตลาดให้ อ.ไมค์จึงเป็นตัวแทนชาวเขาผู้ปลูกกาแฟในเชียงใหม่ที่อยู่ในโครงการ มาติดต่อกับสตาร์บัคส์ ที่กรุงเทพฯ เพื่อนำผลผลิตของชาวเขาเข้าไปขายในร้าน เมื่อ 6 ปีก่อน
แม้ว่าสตาร์บัคส์ ประเทศไทย อยากจะช่วยรับซื้อแค่ไหน แต่ด้วยมาตรฐาน สิ่งที่ทำได้ก็คือ ส่งตัวอย่างเมล็ดกาแฟของชาวเขาไปเทสต์ที่บริษัทแม่
หลังจากส่งไปเทสต์ บริษัทแม่อีเมลกลับมาให้ปรับปรุงกรรมวิธีการผลิตให้มีคุณภาพและรสชาติตามที่สตาร์บัคส์ต้องการมากขึ้น อ.ไมค์จึงต้องบอกให้ชาวเขาปรับปรุงระบบบางอย่างเพื่อให้ตรงกับมาตรฐานสตาร์บัคส์ เช่น การปลูกแบบธรรมชาติ (organic) ไม่ใช้ปุ๋ยเคมี ปลูกใกล้ต้นไม้ใหญ่ ฯลฯ
"ตอนแรกชาวบ้านก็ไม่เข้าใจ เพราะเขาอยากได้เร็วๆ และก็ไม่กล้าเสี่ยงที่จะเปลี่ยนระบบใหม่ เพราะต้องลงทุนสูงและเขายากจนจริงๆ แต่เราต้องบอกให้อดทน หากได้ขายให้สตาร์บัคส์ ก็จะมีโอกาสขายในปริมาณมาก เพราะสตาร์บัคส์มีหลายร้านทั่วโลก และที่สำคัญ สตาร์บัคส์มีนโยบายพัฒนาชุมชนชาวไร่ที่ขายกาแฟให้เขา ซึ่งตอนนั้นเราอยากได้โรงเรียน และระบบน้ำ ชาวเขาก็เลยยอม"
ยาวนานกว่า 2 ปีในการพัฒนามาตรฐาน ในที่สุดกาแฟจากภาคเหนือของไทยก็ได้เข้าไปอยู่ในร้านสตาร์บัคส์ เมื่อ 4 ปีก่อน "ม่วนใจ๋ เบลนด์" ซึ่งวางขายประจำในร้านสตาร์บัคส์ในประเทศ และประเทศในแถบเอเชียแปซิฟิก จนทำให้เกิด "Starbucks Effect" ที่เกิดกับชาวไร่กาแฟกลุ่มนี้ก็คือ มีบริษัทอื่นจากในประเทศและต่างประเทศหลั่งไหลเข้ามาขอซื้อกาแฟ และให้ราคาตามที่สหกรณ์ตั้งไว้
"เพราะสตาร์บัคส์โปรโมตว่าเขาซื้อมาจากเมืองไทยซื้อมาจากเรา บริษัทอื่นก็เลยติดต่อมาได้ และด้วยมาตรฐานของสตาร์บัคส์ ก็ทำให้คนเชื่อมั่นว่ากาแฟเราดี แบรนด์อิมเมจกาแฟไทยก็ดีด้วย"
นอกจากราคารับซื้อกาแฟที่สูง สตาร์บัคส์ยังบริจาคเงิน 5% จากการขายถุงกาแฟม่วนใจ๋ทุกถุงให้ชุมชน และยังมีทุนอื่นให้แก่ชาวไร่ด้วย รวมถึงเข้าไปช่วยพัฒนาชุมชนด้านต่างๆ ที่ผ่านมาก็มีการรับบริจาคหนังสือจากลูกค้าเอาไปให้ชาวเขา เข้าไปช่วยเรื่องระบบน้ำประปาในหมู่บ้าน ช่วยสร้างโรงเรียน ฯลฯ
"เมื่อก่อนชาวเขาพวกนี้เขายากจนมาก คุณภาพชีวิตก็ต่ำ ไม่แม้ซื้อของใช้จำเป็น ทั้งครอบครัวมีรายได้น้อยกว่า 40 บาทต่อวัน แต่วันนี้รายได้เฉลี่ยหลายร้อยบาทต่อวัน ความเป็นอยู่ก็ดีขึ้นเรื่อยๆ"
ในห้องอบรม พาร์ตเนอร์น้องใหม่จะได้รับการปลูกฝังบ่อยครั้งว่า "สิ่งที่ดีที่สุดที่เราจะช่วยชาวไร่ ไม่มีอะไรดีไปกว่าการช่วยขายเมล็ดกาแฟของพวกเขาให้ได้มากที่สุด"
กาแฟม่วนใจ๋ เบลนด์ เป็นกาแฟผสมระหว่างกาแฟจากชาวเขาทางภาคเหนือของไทยกับกาแฟจากแหล่งอื่นในหมู่เกาะแปซิฟิก วางขายอยู่บนชั้นขายกาแฟของสตาร์บัคส์มาร่วม 4 ปี
ในประเทศไทย "ม่วนใจ๋" ถูกจัดวางอย่างสง่างามเทียบศักดิ์ศรีกาแฟคุณภาพดีที่สตาร์บัคส์คัดเลือกมาจากหลายภูมิภาคทั่วโลก เพราะต่างก็อยู่บน "mission statement" ข้อสามที่ว่า "การปฏิบัติตามมาตรฐานสูงสุดทั้งในด้านการเลือกซื้อเมล็ดกาแฟ การคั่วเมล็ฟดกาแฟ และการให้บริการกาแฟคุณภาพเยี่ยม
"6 ปีก่อนไม่มีใครรู้จักกาแฟจากเมืองไทย พอม่วนใจ๋ได้เข้าไปขายในสตาร์บัคส์ ก็เหมือนได้โปรโมตให้ทั่วโลกได้รู้ว่า ประเทศไทยมีกาแฟดีๆ ทำให้กาแฟไทยขายได้มากขึ้น จน 2-3 ปีก่อน กาแฟไทยขาดตลาดเลย"
Michael Mann หรือ อ.ไมค์ เป็น "ฝรั่งดอย" ที่คลุกคลีกับชาวเขาในเชียงใหม่มาตั้งแต่อายุ 2 ขวบ เติบโตที่เชียงใหม่มาตลอด ยกเว้นแค่ 7 ปีที่เรียนในอเมริกา หลังจากนั้นก็ทุ่มเททำงานเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของชาวเขามาตลอดชั่วชีวิต ในฐานะผู้อำนวยการของ Integrated Tribal Development Program (ITDP) ซึ่งเป็นโครงการพัฒนาชาวเขาบนดอยแบบผสมผสาน เจตจำนงและแรงบันดาลใจตรงนี้เป็นสิ่งที่พ่อของเขาถ่ายทอดไว้ให้เป็นมรดกแห่งความดีงาม
พ่อของเขาเป็นนักพัฒนาด้านเกษตร ทำงานโครงการพัฒนาชาวเขาให้กับสหประชาชาติ พ่อของเขาเป็นคนแรกที่เอากาแฟเข้ามาเมืองไทยเพื่อส่งเสริมให้ชาวเขาปลูกกาแฟแทนฝิ่น เขาจึงได้ตามพ่อขึ้นดอยตั้งแต่เด็ก และก็ได้ซึบซับความรู้เรื่องกาแฟเข้ามาด้วย
"ชาวไร่มาติดต่อ ITDP หลายครั้ง เขาอยากรู้วิธีการปลูกกาแฟที่มีคุณภาพ และอยากรู้วิธีทำให้ผลกาแฟกลายเป็นสารกาแฟที่ไปคั่วได้ เพราะเมื่อก่อนพ่อค้าคนกลางไปรับซื้อกาแฟที่เป็นผลเชอรี่เอาไปทำเอง แล้วกดราคาชาวบ้าน แต่เขาจะเอาไปขายเองในตลาดก็ทำไม่ได้ เพราะปริมาณผลผลิตน้อยก็เข้าตลาดยาก"
หลังจากแนะนำชาวเขากว่า 200 ครอบครัว จากกว่า 25 หมู่บ้าน รวมตัวเป็นสหกรณ์ ITDP ก็เข้าไปสอนวิธีปลูกกาแฟที่มีคุณภาพ จากนั้นก็ต้องหาตลาดให้ อ.ไมค์จึงเป็นตัวแทนชาวเขาผู้ปลูกกาแฟในเชียงใหม่ที่อยู่ในโครงการ มาติดต่อกับสตาร์บัคส์ ที่กรุงเทพฯ เพื่อนำผลผลิตของชาวเขาเข้าไปขายในร้าน เมื่อ 6 ปีก่อน
แม้ว่าสตาร์บัคส์ ประเทศไทย อยากจะช่วยรับซื้อแค่ไหน แต่ด้วยมาตรฐาน สิ่งที่ทำได้ก็คือ ส่งตัวอย่างเมล็ดกาแฟของชาวเขาไปเทสต์ที่บริษัทแม่
หลังจากส่งไปเทสต์ บริษัทแม่อีเมลกลับมาให้ปรับปรุงกรรมวิธีการผลิตให้มีคุณภาพและรสชาติตามที่สตาร์บัคส์ต้องการมากขึ้น อ.ไมค์จึงต้องบอกให้ชาวเขาปรับปรุงระบบบางอย่างเพื่อให้ตรงกับมาตรฐานสตาร์บัคส์ เช่น การปลูกแบบธรรมชาติ (organic) ไม่ใช้ปุ๋ยเคมี ปลูกใกล้ต้นไม้ใหญ่ ฯลฯ
"ตอนแรกชาวบ้านก็ไม่เข้าใจ เพราะเขาอยากได้เร็วๆ และก็ไม่กล้าเสี่ยงที่จะเปลี่ยนระบบใหม่ เพราะต้องลงทุนสูงและเขายากจนจริงๆ แต่เราต้องบอกให้อดทน หากได้ขายให้สตาร์บัคส์ ก็จะมีโอกาสขายในปริมาณมาก เพราะสตาร์บัคส์มีหลายร้านทั่วโลก และที่สำคัญ สตาร์บัคส์มีนโยบายพัฒนาชุมชนชาวไร่ที่ขายกาแฟให้เขา ซึ่งตอนนั้นเราอยากได้โรงเรียน และระบบน้ำ ชาวเขาก็เลยยอม"
ยาวนานกว่า 2 ปีในการพัฒนามาตรฐาน ในที่สุดกาแฟจากภาคเหนือของไทยก็ได้เข้าไปอยู่ในร้านสตาร์บัคส์ เมื่อ 4 ปีก่อน "ม่วนใจ๋ เบลนด์" ซึ่งวางขายประจำในร้านสตาร์บัคส์ในประเทศ และประเทศในแถบเอเชียแปซิฟิก จนทำให้เกิด "Starbucks Effect" ที่เกิดกับชาวไร่กาแฟกลุ่มนี้ก็คือ มีบริษัทอื่นจากในประเทศและต่างประเทศหลั่งไหลเข้ามาขอซื้อกาแฟ และให้ราคาตามที่สหกรณ์ตั้งไว้
"เพราะสตาร์บัคส์โปรโมตว่าเขาซื้อมาจากเมืองไทยซื้อมาจากเรา บริษัทอื่นก็เลยติดต่อมาได้ และด้วยมาตรฐานของสตาร์บัคส์ ก็ทำให้คนเชื่อมั่นว่ากาแฟเราดี แบรนด์อิมเมจกาแฟไทยก็ดีด้วย"
นอกจากราคารับซื้อกาแฟที่สูง สตาร์บัคส์ยังบริจาคเงิน 5% จากการขายถุงกาแฟม่วนใจ๋ทุกถุงให้ชุมชน และยังมีทุนอื่นให้แก่ชาวไร่ด้วย รวมถึงเข้าไปช่วยพัฒนาชุมชนด้านต่างๆ ที่ผ่านมาก็มีการรับบริจาคหนังสือจากลูกค้าเอาไปให้ชาวเขา เข้าไปช่วยเรื่องระบบน้ำประปาในหมู่บ้าน ช่วยสร้างโรงเรียน ฯลฯ
"เมื่อก่อนชาวเขาพวกนี้เขายากจนมาก คุณภาพชีวิตก็ต่ำ ไม่แม้ซื้อของใช้จำเป็น ทั้งครอบครัวมีรายได้น้อยกว่า 40 บาทต่อวัน แต่วันนี้รายได้เฉลี่ยหลายร้อยบาทต่อวัน ความเป็นอยู่ก็ดีขึ้นเรื่อยๆ"
ในห้องอบรม พาร์ตเนอร์น้องใหม่จะได้รับการปลูกฝังบ่อยครั้งว่า "สิ่งที่ดีที่สุดที่เราจะช่วยชาวไร่ ไม่มีอะไรดีไปกว่าการช่วยขายเมล็ดกาแฟของพวกเขาให้ได้มากที่สุด"